Saturday, November 17, 2012

ประวัติ 10 สถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโลก อันดับ 10 สุสานมัมมี่ ปานาโม อิตาลี


กุ๊กๆ กรู๊~~ มาแล้วขอรับ ( ทำเสียงขรึมครึม ) กับ.....ประ....วัติ... 10....... อันดับ......... สถานที่............ ที่.......... ที่...... เฮ้อ~~ พอเหอะ ^ ^" ก็มาแล้วขอรับกับประวัติ 10 อันดับสถานที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความน่ากลัวเป็นที่สุด ให้เอาจริงๆมันมีมากกว่า 10 ที่ซะอีกเนอะครับ แต่ทว่าที่กระผมจะรีวิวกันก็คือ 10 อันดับในทั่วโลกกันไปเลยขอรับ จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลยขอรับ

เรามาเริ่มต้นกันที่อันดับ 10 กันนะครับ
อันดับ 10 สุสานมัมมี่ ปานาโม อิตาลี (LAS CATACUMBAS DE LOS CAPUCCINOS)


สุสานที่ใครหลายๆคน คงจะไม่อยากไปเที่ยวกันเป็นแน่ๆ ( แม้ว่าทางเค้าจะเปิดให้เข้าก็เหอะนะครับ ) เจ้าสุสานนี่ตั้งอยู่ที่ พาเลอโม(PARLEMO) เมืองหนึ่งในเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี มีอีกชื่อนึงว่า “คาตาคอนเบ ได คสปูซิน” หรือสุสานแห่งคาปูซิน สำหรับภายในสุสานนั้นประดับไปด้วยมัมมี่ผู้ทรงเกียรติ มากมาย แต่เดิมตัวสุสานนี้นั้นถูกสร้างเพื่อเป็นที่เก็บศพของพี่น้องตระกูลคาปูซิน แต่เมื่อราวๆศตวรรษที่ 16 คือประมาณ 500 ปี มาแล้ว ก็ถูกแปรสภาพให้มีลักษณะเหมือนบ้านรวมญาติ ไม่ว่าจะเป็นขุนนาง ราชวงศ์ ผู้ดีมีตระกูล และทหารผู้ทำคุณงามความดีแก่แผ่นดินตน ซึ่งก็ได้ถูกแปรรูป เอ๊ย! แปรสภาพให้กลายเป็นมัมมี่และบรรจุไว้ในสถานที่นี้ ( มาแล้วมุขนี้ -v-" ) ซึ่งมัมมี่แต่ล่ะตัวก็มีมากมายหลายท่าไม่ว่าจะเป็นนั่ง นอน ยืน เดิน......... ม่ะ.. ไม่นะ ไม่มี๊~ และลอย~~~~ OwO! 555
แต่จุดเด่นจริงๆของสุสานนี้อยู่ที่ มัมมี่เด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตัวหนึ่ง นามของเธอคือ หนูน้อยโรสซาเลีย ลอนบาร์โด (Rosalia Lombardo)


สิ่งที่ทำให้เธอดูเป็นจุดเด่นที่สุดเลยก็คือ การคงสภาพของเธอ ที่ถึงแม้จะผ่านมาถึง 80 แล้ว เด็กน้อยตนนี้ก็ยังคงความโลลิ คิคุ คาวายอี่ ไว้ได้อย่างสมบูรณ์เหมือนประหนึ่งว่าเธอยังมีชีวิตอยู่แต่เพียงกำลังหลับเท่านั้น

แล้วอะไรที่ทำให้เธอคงความโลลิได้ไม่สร่างขนาดผ่านมา 80 กว่าปีแล้ว?

เรื่องนี้ก็ยังคงปริศนามาจนถึงตอนนี้ ด้วยว่าพ่อหมอผู้ทำศพให้แก่เด็กน้อยผู้นี้นั้นไม่ยอมปริปากบอกเลยแม้แต่น้อย บางก็ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของสุสาน บางก็ว่าสูตรลับแง่มๆ แต่กระนั้นแล้วทำไมต้องทำมัมมี่ให้เด็กตัวน้อยๆแสนโลลินี้ด้วยล่ะ? เราจะไปเจาะลึกกันอีกสักนิดครับ

แม่หนูโรซาเลียตายด้วยโรคปอดบวมเมื่อปี 1920 ด้วยวัยเพียง 8 ปี ( บางที่ก็ว่า 2 ปี ) เท่านั้น ทำให้ผู้เป็นพ่อของเธอ ( ซึ่งเป็นทหาร ) เสียใจมากจนเสียสติ ( แหงล่ะ ลูกแสนจะคาวายอี่ซะขนาดนี้ =w= ) จึงไปขอร้องให้ อัลเฟรโด ซาลาเฟีย ทำหน้าที่ดองศพเธอไว้

อัลเฟรโด ซาลาเฟีย

แต่ทว่าศพของเธอจะผ่านกระบวนการอะไรมาบ้างนั้น เป็นความลับที่มีแต่ศาสตราจารย์ อัลเฟรโด ซาลาเฟีย (ALFREDO SALAFIA) ผู้ดองศพเธอเท่านั้นที่รู้ แล้วซาลาเฟียเป็นใครล่ะ?
ซาลาเฟียเป็นชาวซิซิลี รํ่าเรียนทางเคมี และคิดค้นพัฒนานํ้ายาดองศพให้คงสภาพเดิมอยู่ได้นานแสนนาน เขาคิดน้ำยาดองศพสูตรพิเศษที่สามารถเปลี่ยนสภาพผิวคนให้เป็นเหมือนขี้ผึ้ง ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งก็เป็นสาเหตุว่าทำไมศพของโรสซาเลีย ลอนบาร์โด (Rosalia Lombardo)ยังคงโลลิ คิคุ คาวายอี่ ได้มาอย่างยาวนาน แต่พ่อหมอเค้าทำมัมมี่เฉพาะแค่หนูน้อยนี้หรือ?

เปล่าเลยครับ พ่อหมอผู้นี้นอกจากจะทำศพให้หนูน้อยโรสซาเลียแล้ว เค้ายังคงรับทำมัมมี่ให้คนอื่นๆอีกมาก เช่น ศพนายกรัฐมนตรีของซิซิลี ฟรานเซสโก คริสปี (FRANCESCO CRISPI) ซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี 1905 แต่พอดีเกิดอาเพศดันหาศพของนายกท่านนี้ไม่ได้ซะงั้น - - แต่ตามแหล่งข้อมูล ( ของแหล่งข้อมูลอีกที ^ ^" ) บอกว่า 5 ปีต่อมาศพนายกท่านนี้ได้ถูกเปิดในงานฉลองเอกราชของซิซิลี และยังคงสภาพเดิม!!! สุดยอด =^=b!
นอกจากนี้พ่อหมอยังเคยเดินทางไปบริการดองศพไร้ญาติที่ ECLECTIC MEDI-CAL COLLEGE 
(นิวยอร์ก) โดยฉีดน้ำยาสูตรลับของเค้าเข้าไปที่เส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอของศพ จากนั้นทิ้งศพไว้อย่างงั้น ไม่เอาเข้าห้องเย็นถึง 6 เดือน! หลังจากนั้นก็ได้มีการนำศพ ( หรือมัมมี่อ่ะนะครับ -w- ) มาผ่าพิสูจน์ ก็ต้องตกตะลึงเพราะสภาพเนื้อเยื่อยังคงสมบูรณ์ แถมยังไม่เหม็นเน่าอีกด้วย!!! สุโค้ย~! ( อีกแล้ว -w-" )

ต่อมาพ่อหมอก็ได้ขายของเหลวที่เป็นสูตรลับในการทำมัมมี่ให้ฌาปนสถานในสหรัฐฯ เนื่องจากความนิยมในการดองศพแพร่หลายไปทั่วหลังช่วงสงครามกลางเมืองนั้นเอง ( ช่วงนี้เห่อมัมมี่~~ กึ๊ย! ) 

พ่อหมอนั้นไม่เคยจดลิขสิทธิ์นํ้ายานี้ และไม่เคยเผยสูตรนี้แก่ใคร ดังนั้น เมื่อเค้าเสียชีวิตลง ที่ปาร์เลอโมบ้านเกิด เมื่อ 31 มกราคม 1933 ความลับของนํ้ายารักษาศพสูตรพิเศษนี้ จึงลงหลุมไปกับเขาด้วย ( หว๊า~ ไปซะล่ะ )

ถึงจุดนี้หลายๆคนก็คงจะเข้าใจแล้วว่าหนูน้อยโรซาเลียก็คงจะถูกฉีด นํ้ายาเข้าเส้นเลือดใหญ่เช่นกัน นํ้ายาดองศพ สูตรนี้จะประกอบขึ้นด้วยอะไรบ้างนั้น มีผู้สันนิษฐานไว้ต่างๆ ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ สารหนูหรือกรดอาร์เซนิค และปรอทไบคลอไรด์ (MERCURY BICHLORIDE) หากจะให้รู้จริงก็คงต้องตัดเนื้อเยื่อ ของแม่หนูโรซาเลียมาวิเคราะห์ ซึ่งงานนี้หลวงพ่อคาปูชินไม่ยอมแน่ๆ สูตรลับของพ่อหมอซาลาเฟียจึงยังคงเป็นสูตรลับต่อไป 555

Credit: