Thursday, November 22, 2012

ประวัติ 10 สถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโลก อันดับ 8 เทือกเขาร็อกกี้ โคโลราโด


มาต่อกันที่อันดับ 8 เลยนะครับ
อันดับ 8 เทือกเขาร็อกกี้ โคโลราโด (Colorado Rockies)

ทิวเขาของเทือกเขาร็อกกี้

เทือกเขาร็อกกี้ โคโลราโดสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ด้วยป่าที่เขียวขจี ขุนเขาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ประกบกับลานสกีหิมะที่กว้างขวางทำให้ยังคงมีคนเข้าไปเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ก็ด้วยสภาพแวดล้อมทั้งปวงคงจะไม่มีใครคิดว่า ที่นี้เคยเป็นที่กำเนิดของคนกินคนมาก่อน แล้วคนกินคนที่ว่าก็ไม่ใช่คนป่าซะด้วย~ คนปรกติๆเหมือนกับเรานี่ล่ะครับ แต่ก่อนเราจะมาทราบว่าใครที่เป็นคนกินคนเราจะมาเจาะลึกถึงประวัติของเทือกเขาร็อกกี้กันสักนิดนะครับ

เส้นทางเข้าสู่เทือกเขาร็อกกี้
( ภาพโดย คุณ chinn จาก DGO  )

เจ้าเทือกเขาร็อกกี้นี้ตั้งแต่อยู่ที่ มลรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา 
มลรัฐโคโลราโด เป็นรัฐลำดับที่ 38 ของสหรัฐอเมริกาขอรับ ตั้งอยู่ในแถบกลางของฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา โดยอยู่ในเขตเทือกเขาร็อกกี้ซึ่งก็ครอบคลุมราวๆครึ่งหนึ่งของรัฐทางฝั่งตะวันตกครับ

ภาพที่ตั้งมลรัฐโคโลราโด
( ภาพจาก google map )

แล้วมลรัฐโคโลราโดนี่เป็นส่วนหนึ่งของอเมริกามาก่อนอยู่แล้วเหรอ? อันที่จริงก่อนหน้า ค.ศ.1803 นั้น พื้นที่ตลอดทั่วมลรัฐโคโลราโดนั้นเป็นของฝรั่งเศส แต่เมื่อปี ค.ศ.1803 นั้นเอง นโปเลียน ก็ได้ชื่อดินแดนอันกว้างใหญ่นี้จากฝรั่งเศส 


แต่ก็คงจะด้วยเหตุว่าฝรั่งเศสคงจะยังมองไม่เห็นค่าของดินแดนแห่งนี้ เลยขายให้นโปเลียนด้วยราคาราวๆ  15 ล้านเหรียญ ( 15 ล้านเหรียญถ้าจะให้ซื้อรัฐสักรัฐในสหรัฐตอนนี้แม้แต่รัฐที่เล็กที่สุดก็ยังซื้อไม่ได้เลยครับ ^w^" ) สาเหตุที่นโปเลียนอยากได้ที่แห่งนี้ก็เพราะนโปเลียนกำลังต้องการเงินไปทำสงครามกับชาติอื่นๆ ในยุโรป ซึ่งภายหลังต่อมาสหรัฐอเมริกาก็ร่ำรวยจากผืนดินมหึมานี้เหลือคณานับไปเลย ( ฝรั่งเศสคงจะนั่งร้องไห้อยู่แน่ๆ ^ ^" )
แต่คนที่พบดินแดนแถบนี้ครั้งแรกไม่ใช่ฝรั่งเศสหรอกครับ แต่เป็นนักสำรวจชาวสเปน ซึ่งเห็นว่าแม่น้ำเป็นสีแดง เลยตั้งชื่อให้ตรงๆ ว่า Colorado (color) แปลว่า " แดง " หรือ " มีสี " รัฐเลยได้ชื่อตามแม่น้ำไปด้วย 555

ภาพมุมมองจากบนเครื่องบินเหนือเมืองหลวงเดนเวอร์ มลรัฐโคโลราโด
( ภาพโดย คุณ เมโลดี้ในสายหมอก จาก Pantip )

มลรัฐโคโลราโดมีเมืองหลวงชื่อว่า เดนเวอร์ ตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงทางทิศตะวันออกของเทือกเขาร็อกกี้ เทือกเขาร็อกกี้ (Rocky Mountains หรือ Rockies) เป็นเทือกเขาในอเมริกาเหนือ พาดผ่านตั้งแต่บริติชโคลัมเบียในแคนาดา ไปจนถึงมลรัฐนิวเม็กซิโกในสหรัฐอเมริกา รวมความยาวประมาณ 4,800 กิโลเมตร โดยมียอดเขาที่สูงที่สุดคือ เมาท์เอลเบิร์ต ซึ่งอยู่ในมลรัฐโคโลราโด มีความสูงประมาณ 4,401 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
   เมืองหลวงเดนเวอร์มีชื่อเล่นว่า ‘Mile-High City’ เนื่องจากตัวเมืองสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1 ไมล์ (1,609 เมตร) อีกด้วย

แล้วตกลงคนกินคนที่ว่าเป็นใคร? เกิดขึ้นได้ยังไง?

งานนี้เราต้องมาทำความรู้จักกับเค้าสักหน่อยล่ะครับ 


อัลเฟร็ด แพคเกอร์
( ภาพโดย somelady10 จาก Sanook )

 อัลเฟร็ด แพคเกอร์  ก็คือคนธรรมดานี้แหละครับ ลุงเค้าติดตามกลุ่มเพื่อนนักขุดทอง 5 คน ไปเทือกเขาโคโลราโด เพื่อหวังที่จะได้แร่ทองคำสักนิด จะรวยกันไปสักที ^w^ เมื่อบุกตะลุยมาถึงเขตของรัฐโคโลราโด พวกเขาก็พากันตั้งค่ายพักแรมที่แรกคือถิ่นเลค ซิตี้ และวางแผนว่าจะขุดทองที่เทือกเขากันสักระยะก่อนที่จะเดินทางไป ลอส ไพนอส อูเต้ ซึ่งเป็นสถานีการค้าในชุมชนเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไป 75 ไมล์ ซึ่งที่เลค ซิตี้ นี้เองที่เป็นที่พักแรมที่สุดท้ายของนักขุดทองที่เต็มไปด้วยความหวังทั้ง 5 คน รวมทั้งอัลเฟร็ด แพ็คเกอร์

ทำไมน่ะเหรอ? นั้นก็เพราะ..............

เมื่อ 9 กุมภาพันธ์  ลุงแพ็คเกอร์ และคณะได้ออกเดินทางออกไปอีกราว 2 ไมค์ครึ่ง และทำการลงมือขุดทองกัน ซึ่ง ณ ที่นี้นี่เองที่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดการสังหารใหญ่ขึ้น  ลุงแพ็คเกอร์ ได้อ้างว่า เมื่อพวกเขาเดินทางไประยะหนึ่ง จนมาถึงทุ่งแห่งหนึ่งบนภูเขาโคโลราโด และเพื่อนสามคนก็ตายเพราะทนพิษความหนาวไม่ไหว และจู่ๆ หนึ่งในห้า ( ในที่นี้มีชีวิตอยู่ 2 คนครับ ตายไป 3 ครับ ) เพื่อนร่วมทางชื่อ แชนนอน วิสสัน เบลล์ ได้ฆ่าเพื่อนร่วมทางคนหนึ่งตายไป ลุงแพ็คเกอร์จึงได้ฆ่าแชนนอนเพื่อป้องกันตัว ( หรือหิวจัด - -? )

และแล้วเพื่อนๆที่ลุงเค้าติดตามมาทั้ง 5 คนก็สิ้นลมลงตรงนั้น แล้วปล่อยให้ลุงแพ็คเกอร์ได้กินศพของพวกเค้าอยากเมามันส์ภายใต้อุณหภูมิ -15 C ํ แสงแดดอ่อนๆ และกาแฟแสนอร่อย!?! ( เอิ่ม..... กาแฟกับเนื้อคนสดๆ...... -w-" )

ภาพที่น่าจะทำให้ทุกๆคนนึกถึงภาพตอนลุงแพ็คเกอร์สวาปามเพื่อนๆของเค้าออก =w="
( ภาพโดย คุณ BANKโอ๊ยปวดตับ จาก Dek-D )

ต่อมาเมื่อ 18 กุมภาพันธ์  อัลเฟร์ด แพคเกอร์ ออกจากเทือกเขา และมาถึงลอส ไพนอส อูเต้ ที่เป็นจุดหมายเพียงคนเดียว พอดีเวลานั้นมีคนอยู่ในสถานีพอดี แล้วเห็นลุงแพ็คเกอร์มาคนเดียวก็เลยเกิดความสงสัยว่าเพื่อนร่วมทางหายไปไหน เพราะปกติแล้วคนขุดทองมักจะเดินทางไปเป็นกลุ่มมากกว่าจะไปคนเดียว จึงได้เข้าไปถามลุงแพ็คเกอร์ว่า

คนที่สถานี: แล้วคนอื่นๆล่ะ o.o?
ลุงแพ็คเกอร์: กินไปแล้ว =0=
คนที่สถานี: OuO!

แล้วลุงแพ็คเกอร์ก็เล่าเรื่องเกิดขึ้นทั้งหมดให้นายสถานีฟัง หลังจากนั้นเขาก็กลับบ้าน และจู่ๆ ก็เกิดดันนึกกลัวความผิดที่รับประทานเพื่อนๆพร้อมกาแฟแสนอร่อยขึ้นมาซะงั้น เขาก็เลยเกิดอาการ อยากจะหนี!!! หนี!! หนีไปจนไกล~~~~~ 555 ก็หนีได้ไปเป็นเวลาถึง 9 ปี เต็ม ต่อมาถูกทางการเจอตัวและจับได้ในข้อหาฆ่าและกินเพื่อนมนุษย์และกลายเป็นข่าวฮือฮาสุดยอดในปีค.ศ. 1883

 เมื่อลุงแพ็คเกอร์ถูกจับได้ เขาก็ยอมรับทุกข้อกล่าวหาที่ว่าเขากินเนื้อเพื่อนๆของเขาเพื่อมีชีวิตรอด แต่ลุงแพ็คเกอร์ก็ได้แก้ตัวว่า " เค้าบริสุทธิ์นะ เค้าทำไปเพื่อป้องกันตัวและความอยู่รอด "  ( สวาปามเพื่อนเพื่อความอยู่รอด สุดยอด!!! =^=b ) แต่ของแต่อีกทีครับ ปัญหาที่ตามมาของคดีนี้คือเรื่องที่ลุงแพ็คเกอร์เล่าเป็นความจริงรึเปล่า?

 และในปี 1989 นั้นเองก็ได้มี ศาสตราจารย์ทางกฎหมายและนิติวิทยาฯแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน นำทีมเข้ามาค้นหาร่างที่ถูกเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยโดยลุงแพ็คเกอร์พร้อมกาแฟที่ยังคงหลงเหลืออยู่ซึ่งก็ค้นพบได้ครบทั้งห้าศพ แต่น่าเสียดายที่ศพไม่ได้อยู่สภาพสมบูรณ์ ไม่สามารถพิสูจน์บุคคลได้ ( นึกภาพออกแล้วสินะครับ ว่าลุงแพ็คเกอร์กินเพื่อนๆของลุงเค้ายังไง ) เพียงแต่บอกว่าจากร่องรอยกระดูกเห็นชัดว่าสี่คนถูกตีด้วยด้านขวานและมีร่องรอยการใช้มีดแล่ออกอย่างระมัดระวัง ซึ่งไม่ตรงกับคำให้การของลุงแพ็คเกอร์ที่เล่าว่าคนอื่นๆ ( 3 คนตามคำบอกเล่าของลุงเค้า ) ได้เสริฟ์ตัวเองให้ลุงเค้าก่อนหน้าเพราะความหนาว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่รู้อยู่ดีล่ะว่าลุงแพ็คเกอร์เป็นคนฆ่าจริงหรือไม่ =w=;

แต่สุดท้ายลุงแพ็คเกอร์ก็ถูกตัดสินให้ประหารชีวิต ทว่าต่อมามีการพิจารณาคดีใหม่อีกครั้งและลดโทษให้เหลือแค่จำคุก 15 ปีแทน จากนั้นลุงเค้าก็ได้ถูกส่งตัวไปที่คุก โคโลราโด เทอริทอเรี่ยล พริซัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าระหว่างที่ลุงแพ็คเกอร์ติดคุกอยู่นั้นจะมีใครยอมคบเป็นเพื่อนหรือเปล่านะ 55

( ภาพจาก sangres.com )

  ปี ค.ศ.1901 ราวๆ 9 ปีเต็มๆ   ลุงแพ็คเกอร์ก็ได้ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ และนับตั้งแต่ออกจากคุกมา ลุงเค้าก็พลันตัวเองเป็นมังสวิรัติโดยทันที และกลายเป็นผู้นำชุมชนท้องถิ่นเรื่อยมา

 และแล้ว ลุงแพ็คเกอร์ก็อยู่ในโลกได้อีกราวๆ 6 ปี ในปี ค.ศ.1907 เขาก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบ ในฐานะเสรีชน ( ไม่ใช่คนกินคนแล้วนะครับ ตอนนี้ ) อายุรวมก็ 65 ปีขอรับ

ทุกวันนี้แม้เวลาจะผ่านไปกว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว แต่เรื่องราวของลุงแพ็คเกอร์นั้นยังไม่จางหายไปเพราะ ที่เขต ฮินสเดล ในรัฐโคโลราโด ลุงเค้าได้เปิดพิพิธภัณฑ์นึง ชื่อ The Hinsdale County Museum โดยรวบรวมเอาหลักฐานและความทรงจำต่างๆ ของตัวลุงเค้าเอง " อัลเฟร็ด แพ็คเกอร์ " ไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาอย่างเปิดกว้างด้วย ใครอยากรู้ว่าจะกินคนต้องทำยังไงก็ลองมาเที่ยวนี้ดูได้นะครับ คิๆ ( ล้อเล่นน่ะครับ  ^w^" )

( ภาพโดย คุณ Cyndi จาก http://holmantravels.blogspot.com )

นอกจากนี้ยังมีบริษัททัวร์แสนน่ารักหลายๆบริษัท ที่มักจะนำนักท่องเที่ยวไปชมสถานที่สังหารที่ทุ่งสังหารของลุงแพ็คเกอร์ด้วยและนำชมแผ่นหินสลักรายชื่อผู้ตายที่เป็นได้อาหารมื้ออร่อยมื้อนึงของลุงแพ็คเกอร์แบบเจาะลึกเลยละ เพราะมีรายละเอียดการฆ่าอย่างครบถ้วน เหมาะแก่การอ่านเพลินๆ และถ่ายรูปคู่.............. เอิ่ม..... ก็ยังไหว ( มั้ง - -" )
 นอกจากนี้ที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด ยังมีร้านอาหารที่ขายแต่เนื้อและสเต็กที่ชื่อเหมือนลุงแพ็คเกอร์อีกด้วย ชื่อร้านว่า Alferd Packer Restaurant & Grill.

[ จะรับเมนูอะไรดีคร้าปปปป - -" ]
( ภาพโดย Arthur จาก http://cumunchies.blogspot.com/ )

ที่ต้องชื่อนี้ก็เพราะ ใน พฤษภาคม 1968 มหาวิทยาลัยโคโลราโดได้สร้างโรงอาหารเพิ่ม โดยให้โรงอาหารใหม่นี้ขายอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์โดยเฉพาะ องค์กรนักศึกษาจึงจัดการลงคะแนนเสียงว่า ส่วนที่ขายอาหารควรใช้ชื่ออะไรดี และลงมติว่า ให้มันชื่อ อัลเฟร็ด แพ็คเกอร์ กริลล์ละกัน -w-"

Credit:
Data by

Picture by