Wednesday, December 19, 2012

ประวัติ 10 สถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโลก อันดับ 5 เมืองปอมเปอี

อันดับ 5 เมืองปอมเปอี

ปอมเปอี เมืองแห่งโรมัน ที่เดิมเคยเป็นถึงมหานครที่ยิ่งใหญ่ มีทั้งสถานท่องเที่ยว ผลับ บาร์ และโรงละคร ฯลฯ แต่แล้วเหมือนเทพเจ้าเกิดพิโรธ ดลบันดาลให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ ซึ่งนำมาสู่การล่มสลายของมหานครอย่างทันที......

สวัสดีครับ ทุกคน วันนี้ก่อนที่เราจะเจาะลึกเกี่ยวกับปอมเปอีนั้น เรามาท่องเที่ยวกันที่ปอมเปอีกับรายการ The insider กันก่อนนะครับ เพื่อที่เราจะได้เข้าถึงเนื้อหากันได้มากขึ้น

( วิดีโอ โดย The insider จาก Youtube )

( วิดีโอ โดย The insider จาก Youtube )

( วิดีโอ โดย The insider จาก Youtube )

เอ้าล่ะ เที่ยวกันเต็มอิ่มแล้ว ต่อไปเราก็จะเริ่มมาเจาะลึกถึงตำนานแห่งเมืองปอมเปอีกันเลยครับ

ปอมเปอี  (Pompeii) ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 550 ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่เดิมเป็นเพียงเมืองของชนเผ่าเร่ร่อน จนกระทั่ง 80 ปีก่อนคริสต์ศักราช ปอมเปอีจึงได้ฐานะเป็นส่วนหนึ่งแห่งอาณาจักรโรมัน และชาวปอมเปอีได้รับการยอมรับเป็นพลเมืองโรมัน หลังจากนั้นไม่นาน ชาวโรมันที่มั่งคั่งพากันสร้างบ้านพักตากอากาศตามชายฝั่งทะเลของปอมเปอี และบริเวณลาดเขาของภูเขาไฟวิสุเวียส และเริ่มแปรสภาพเมืองโดยสร้างสิ่งหรูหรา ( ในสมัยนั้นนะครับ ^w^ ) ต่างๆมากมาย เช่น น้ำพุ เหล้าองุ่น ผ้าขนสัตว์ ฯลฯ และในที่สุดปอมเปอีก็กลายเป็นหนึ่งในมหานครที่ยิ่งใหญ่อันเป็นศูนย์กลางการค้าอันมั่งคั่งของโรมัน


ปอมเปอี
( ภาพจาก Google map )

การเดินทางไปยังปอมเปอีนั้น ไม่ลำบากทีเดียว จะนั่งเรือหรือเครื่องบินไปก็สุดจะแล้วแต่ครับ หรือใครเหาะได้นะครับ ผมก็จะขอติดไปด้วยคน =w=" เหอๆๆ

ปอมเปอีตั้งอยู่ที่ เมืองนาโปลี ประเทศอิตาลี โดยเดินทางมาตามถนนหมายเลข 8818 นะครับ ก็จะมาถึงที่นี้ได้ไม่ยาก 



เส้นทางมายังปอมเปอี
( ภาพจาก Google map )

เอ้าล่ะ เรามาต่อกันที่สาเหตุของการล่มสลายของมหานครแห่งนี้กันต่อนะครับ

ถ้าเป็นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสึนามิก็ดี~~ จะเป็นแผ่นดินไหวก็ดี~~ รึจะเป็นหนี้ก็ไม่ดี~~~ เหอๆๆ -w-" อะไรก็แล้วแต่เหล่านี้ ( ยกเว้นหนี้ อันนี้ตัวใครก็ตัวใครล่ะครับผม ^w^" ) จะมีการเตือนภัยอยู่ล่วงหน้าเสมอ ทำให้เราสามารถเตรียมการรับมือได้อย่างทันท่วงที แต่ทว่าสำหรับปอมเปอีหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

สำหรับปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว พื้นดินยกระดับ และน้ำพุใต้ดินเหือดแห้ง สำหรับยุคปัจจุบันเราๆอาจจะเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ แต่ในยุคที่ปอมเปอียังรุ่งเรือง คือ เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนปรากฏการณ์เหล่านั้นเปรียบเสมือนการเตือนภัยถึงการตื่นจากการหลับใหลมาช้านานของภูเขาไฟ ทว่าชาวเมืองปอมเปอีกลับไม่รู้สึกรู้สาหรือไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมาเตรียมการรับมือไว้เลย

ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทีเดียว เพราะกว่า 1,800 ปีแล้ว ที่ภูเขาไฟวิสุเวียสไม่เคยปะทุ เหล่าชาวเมืองปอมเปอีจึงไม่เคยรู้เลยว่ามันคือ ภูเขาไฟ แม้กระทั่งในภาษาละตินก็ไม่เคยมีการบัญญัติศัพท์คำว่า “ภูเขาไฟ” มาก่อน และที่ดูเหมือนว่าอีกอย่างชาวปอมเปอีจะยังไม่รู้ก็คือ ยิ่งภูเขาไฟหลับใหลยาวนานเท่าไหร่ การระเบิดของมันก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น
       ภายในภูเขาไฟวิสุเวียสมีแอ่งเก็บแมกมาเดือดๆ กว้างประมาณ 3 กิโลเมตรก่อตัวขึ้น และถูกกักอยู่ภายในโดยมีแมกมาเก่ากระจุกตัวอัดกันอยู่ด้านนอก ซึ่งแมกมาเก่านั้นเปรียบเสมือนจุกที่ปิดปากขวดแมกมาร้อนๆ นั่นเอาไว้ แต่ในที่สุดปฏิกิริยาเคมีที่เกิดจากน้ำและก๊าซก็ทำลายจุกลาวา ภูเขาไฟวิสุเวียสจึงฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

และแล้ว หายนะก็ได้เริ่มขึ้น.................

เมื่อเวลาประมาณ 13 นาฬิกา 30 นาที ภูเขาไฟวิสุเวียสที่หลับใหลมานานส่งเสียงคำรามกึกก้องจนแผ่นดินไหวสะเทือน การระเบิดของภูเขาไฟลูกนี้นับว่าแตกต่างจากภูเขาไฟทั่วไป เพราะมันไม่มีลาวาหรือลักษณะอื่นๆ ที่มักจะปรากฏมาพร้อมๆกับการระเบิด โดยการระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียสเป็นแบบพลิเนียน ( เป็นการระเบิดอย่างรุนแรงและเกิดคลื่นขนาดมหึมาขึ้น แก๊สเมฆหนาทึบและเศษชิ้นส่วนต่าง ๆ ถูกดันขึ้นเบื้องบนสูงถึง 5-60 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล ความรุนแรงของการระเบิดมีมากพอที่จะทำให้โครงสร้างของกรวยภูเขาไฟสลับชั้นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆออกมา นอกจากนั้นมีการระเบิดออกมาทางผนังของภูเขาไฟมีการทำลายผนังในปล่อง และมีเศษชิ้นส่วนของลาวาที่แข็งตัวแล้วปะทุออกมา พลังของการระเบิดยากจะคะเนได้ แก๊สและเศษชิ้นส่วนต่างๆ ที่ถูกปล่อยออกมาจากปล่องภูเขาไฟมีความเร็วถึงหลายร้อยเมตรต่อวินาที ) ซึ่งมีอันตรายและน่ากลัวที่สุด ภูเขาไฟวิสุเวียสได้พ่นก๊าซร้อนจัด แมกมา ก้อนหิน เถ้าถ่านออกมาก่อนในครั้งแรก กระแสลมในวันนั้นได้พัดพามัน ไปที่เมืองปอมเปอี และสตาเบียซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของภูเขาไฟวิสุเวียส แต่ด้วยเหตุที่เมืองปอมเปอีอยู่ใกล้กว่า จึงได้รับผลกระทบมากกว่า ในช่วงเวลาไม่กี่นาที ท้องฟ้าเหนือเมืองปอมเปอีก็ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควันจากภูเขาไฟจนแสงอาทิตย์ไม่อาจส่องลอดลงมาได้ เมืองทั้งเมืองได้เปลี่ยนภาพจากกลางวันเป็นกลางคืนในพริบตา ส่วนแมกมานั้นเมื่อถูกพ่นขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศก็เริ่มจับตัวเป็นก้อนใหญ่ที่หนักขึ้น ก่อนจะเย็นลงและเริ่มตกลงมาที่เมืองปอมเปอีด้วยความเร็ว 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ดูราวกับห่าฝนก้อนหินที่จะค่อยๆ ทับถมเมืองปอมเปอีและชาวเมืองนับหมื่นให้จมลงพร้อมกัน

( ภาพโดย scimag, BBC เรื่อง Pompeii: The Last Day จาก scimag.info )

และแล้ว ชาวเมืองปอมเปอีที่เริ่มหวั่นวิตกและหวาดกลัวก็พากันแตกตื่น บางคนรีบหนีออกจากเมือง บางคนหนีเข้าไปในบ้านหรือในสถานที่สาธารณะต่างๆ ปัญหาเริ่มเกิดก่อนกับคนที่ยังอยู่ในเมือง พวกเขาเริ่มหายใจไม่ออก เพราะก๊าซพิษที่ภูเขาไฟพ่นออกมาทำให้เมื่อหายใจเข้าไปก็เกิดการสำลัก และสิ้นใจก่อนจะถูกขี้เถ้าทับถมร่าง ขณะที่ผู้ที่พยายามหนีส่วนใหญ่กลับตายมากกว่ารอด สาเหตุหลักเป็นเพราะโดนก้อนหินขนาดใหญ่หล่นใส่หัวแล้วก็ล้มลงหมดสติ ( เป๊ะจัง =w=" ) ก่อนที่ขี้เถ้าร้อนๆจะถาโถมทับใส่และขาดอากาศหายใจจนตายในภายหลัง เวลาผ่านไปจนกระทั่งเย็น ชาวเมืองปอมเปอีส่วนใหญ่ที่หลบภัยอยู่ในบ้านก็เริ่มตาย นอกจากจะทนสูดก๊าซพิษต่อไปไม่ไหวก็ยังเกิดก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทับถมกันหนาถึง 10 เมตรซึ่งก็เกินกว่าที่หลังคาบ้านรับน้ำหนักไหว และพังลงมาทับร่างคนจนตายในที่สุด

( ภาพโดย scimag, Karl Brullov ( 1830-1833 ) จาก scimag.info )

 ในช่วงเช้าของวันถัดมา ภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดอย่างรุนแรงกว่าวันแรกหลายเท่า แรงสั่นสะเทือนทำให้ทะเลปั่นป่วน คลื่นน้ำรุนแรงจนทำให้บ้านพักตากอากาศแถวริมฝั่งถูกซัดพังทลายไปหลายแห่ง บ่ายวันเดียวกัน กระแสลมเปลี่ยนทิศไปทางทิศตะวันตก (เฉียงใต้เล็กน้อย) นำพาฝุ่นควันสู่เมืองเฮอร์คิวลานีอุมและมิเซนุม (Misenum) แต่เฮอร์คิวลานีอุมอยู่ใกล้ภูเขาไฟวิสุเวียสจึงได้รับความเสียหายก่อนและมากกว่า
       เมื่อการระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียสทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขีดสุด แมกมา เถ้าถ่าน และก๊าซปริมาณมหาศาล ถึง 100,000 ตัน ถูกพ่นออกมาจากภูเขาไฟทุกวินาที และพุ่งขึ้นฟ้าด้วยความเร็วเท่ากับเครื่องบินเจ็ตสู่ระดับความสูง 33 กิโลเมตร แมกมา ก๊าซ และเถ้าถ่านที่ภูเขาไฟวิสุเวียสพ่นออกมานั้นคิดเป็นปริมาตรมากกว่า 4 ลูกบาศก์กิโลเมตร และสามารถพบร่องรอยได้ไกลถึงทวีปแอฟริกา และถ้าเอาเถ้าถ่านเหล่านั้นมากองรวมๆกันแล้วนะครับ มีจำนวนมากพอที่จะบรรจุลงในลูกบาศก์ ที่มีความกว้าง ยาว สูง ด้านละ 2.4 กิโลเมตร
       ในวันที่ 3 ของการระเบิด ภูเขาไฟวิสุเวียสลดความรุนแรงลง เกิดฝนตกบริเวณลาดเขาที่เต็มไปด้วย เถ้าถ่าน กระทั่งในวันที่ 4 น้ำฝนที่ตกลงมาละลายผสมกับเถ้าถ่านแปรสภาพเป็นโคลนเดือดไหลทะลักเข้ากลบเมืองเฮอร์คิวลานีอุม ( อุตสาห์มีปิดท้าย - -" ) ชาวเมืองนับร้อยคนจบชีวิตลง แต่ก็นับว่าเป็นเพียงส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่พากันอพยพลงเรือหนีออกจากฝั่งไปนานแล้ว หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์หายนะคราวนั้นที่ชื่อว่า ไพลนีน้อย (PLINY THE YOUNGER) ได้บันทึกเหตุการณ์ผ่านจดหมายแล้วก็กลายเป็นจดหมายเหตุประวัติศาสตร์ ได้ข้อมูลว่า เมืองปอมเปอียามนั้นมีประชากรประมาณ 20,000 คน ถูกหินไฟเหลวกลบสิ้นชีวิต 2,000 คน


( ภาพโดย scimag จาก scimag.info )

ในแง่ของประวัติศาสตร์แล้ว ปอมเปอีนั้นมีสิ่งที่น่ารู้น่าสนใจหลายประการ ยิ่งกว่าการขุดค้นเมืองโบราณใดๆ ของโลกทั้งนี้ เพราะเมืองโบราณทั่วไปนั้น ยามล่มสลาย ผู้คนได้ทิ้งเมืองและนำข้าวของมีค่าต่างๆ อพยพติดตัวไปด้วย ไม่เหลือร่องรอยของความเป็นอยู่ให้ได้ศึกษาเท่าใดนัก แต่สำหรับปอมเปอีแล้ว ด้วยภัยธรรรมชาติที่จู่โจมถึงตัวทันที ทำให้ไม่มีเวลาเก็บสมบัติทัน แม้แต่ตัวเองก็ยังเสียชีวิตในลักษณะอาการที่ยังคงค้างอยู่ในขณะนั้น ทำให้นักโบราณคดีมีโอกาสศึกษาการดำรงชีพของชาวเมืองปอมเปอีได้อย่างสมบูรณ์ ( สุดยอด =v=" )

ความจริงแล้ว การขุดค้นปอมเปอีมีขึ้นหลังจากเมืองถูกภูเขาไฟถล่มไม่กี่วัน โดยพลเมืองปอมเปอี ผู้ที่หนีเอาชีพรอดไปได้นั้นเอง พวกเค้าได้หวนกลับคืนมาเพื่อสำรวจ ตรวจดูทรัพย์สมบัติของตน แต่อะไรจะเหลือให้เห็นกันเล่า ^ ^" ไม่ว่าจะเป็น ถนน โบสถ์ โรงละคร หรือตลอดจนที่อยู่ อาศัยทั้งหมด ล้วนจมอยู่ใต้ขี้เถ้าหนาถึง 10 เมตร บางคนพยายามขุดอุโมงค์ทะลุขี้เถ้า ที่ทับถมเพื่อเข้าไปสู่บ้านของตน เพราะตอนหนีนั้นรีบหนีอย่างฉุกละหุก และได้ทิ้งข้าวของมีค่าไว้มากมาย แต่ด้วยความยากลำบากในการขุดค้นทำให้พวกเขาต้องท้อถอยยอมแพ้ หากทว่าด้วยความไม่อยากอพยพไปอยู่ที่อื่น พวกเขาจึงใช้แผ่นดินที่อุดมด้วยปุ๋ยขี้เถ้านั้นทำฟาร์มขนาดใหญ่โต หรือทำไร่องุ่นเสียเลย พอผ่านไปหลายชั่วอายุคน ทุกคนก็เลยพากันลืมกันไปเสียสนิทจริงๆเลย ว่าพื้นดินเบื้องล่าง ( พอกด้วยเถ้าถ่านหนากว่า 10 เมตร #~# ) นั้น เดิมเคยเป็นเมืองอันรุ่งเรืองของบรรพบุรุษของพวกเค้ามาก่อน

Credit:
data by

picture by